ข่าวเศร้าของชาวไทย
ในรอบเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี คงไม่มีวันใดที่พสกนิกรชาวไทยทั่วไทยและทั่วโลกจะเศร้าโศกคร่ำครวญอาดูรเท่ากับวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15.52 น. อีกแล้ว วันนั้น คือ วันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชผู้เป็นที่รักของปวงชนชาวไทยเสด็จสวรรคต ผู้ที่รอรับขบวนแห่พระศพจากโรงพยาบาลศิริราชมาสู่พระบรมมหาราชวังก็ดี ผู้ที่รับชมการถ่ายทอดศพขบวนแห่พระศพจากโรงพยาบาลศิริราชมาสู่พระบรมมหาราชวัง อยู่ทางบ้านทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกก็ดี พากันคร่ำครวญหวนไห้กันระงม นับเป็นความระทมทุกข์จากการพลัดพรากจากบุคคลที่แสนรักแสนบูชาอย่างแท้จริง ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์”
การร้องไห้คร่ำครวญปริเทวนาการเช่นนี้เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยที่ฝังลึกลงไปในจิตใจไทยทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดจะมาถอดถอนความรักนั้นออกไปได้ อาตมาได้เขียนบทประพันธ์ในบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกนี้ไว้บทหนึ่งว่า
เสียงคร่ำครวญหวนให้ไทยทั้งผอง
ดังกึกก้องสะท้านไปในโลกสาม
พ่อจากไปทิ้งไว้เพียงสิ่งดีงาม
พร้อมกับความจงรักและภักดี
ลูกอยู่หลังหวังทำดีคอยสานต่อ
ตามรอยพ่อด้วยกายใจไม่หน่ายหนี
ทุกคืนวันหมั่นทำแต่ความดี
มีพ่อชี้ทางธรรมคอยนำทาง
แม้แต่ละคนจะเคยพบกับความพลัดพรากมากมาย แต่ก็เทียบไม่ได้กับการพลัดพรากในครั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงความรักความกตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดินที่พสกนิกรรักเทิดทูนและบูชา ทั้งภาครัฐบาลและภาคประชาชนได้พากันบำเพ็ญบุญด้วยประการต่างๆตามที่ตนมีความสะดวกเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย แม้พระองค์จากไปแล้ว แต่พระราชกรณียกิจต่างๆที่ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนม์ชีพล้วนเป็นรอยจารึกสถิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทยและในใจปวงชนชั่วกัลปาวสานตราบนานเท่านาน ดวงใจของปวงชนชาวไทยที่มีความจงรักภักดีย่อมไม่มีวันลืมความรักที่พระองค์เผื่อแผ่แก่คนไทยเพื่อให้คนไทยมีความสุขตลอดรัชสมัยของพระองค์ลงไปได้ อาตมาได้เขียนบทประพันธ์สั้นๆว่า
พระนวมินทรมหาราช
แม้นิราศจากไปสู่สวรรค์
ทิ้งไว้เพียงความดีอเนกอนันต์
และพระขวัญสถิตอยู่คู่ชาติไทย
แม้พระวรกายจากไปแล้ว
แต่ดวงแก้วคำสอนพ่อยังยิ่งใหญ่
ยังฝังแน่นไม่จืดจางกลางใจไทย
ไม่หวั่นไหว เดินตามไปเพื่อความดี
แม้พระองค์จะจากไปแล้ว แต่คำสอนที่ผ่านบรมราโชวาทในโอกาสต่างๆและพระราชกรณียกิจต่างๆที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนย่อมเป็นคำสอนที่ฝังจิตฝังใจควรนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นดังที่พระองค์เคยมีพระหฤทัยเช่นนั้นตลอดพระชนม์ชีพ
อาตมาขอเก็บความจากจดหมายที่พระองค์ทรงมีถึงสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี มาฝากท่านผู้อ่านดังต่อไปนี้
1. พระองค์ทรงสอนว่า โลกนี้ล้วนมีของคู่เสมอ มีมืดก็มีสว่าง มีความดีย่อมมีความชั่ว ถ้าจะให้เลือก ระหว่างความมืดกับความสว่าง คนส่วนใหญ่มักจะเลือกความสว่าง ความดีกับความชั่ว คนส่วนใหญ่จะเลือกความดี นี่คือพระปรีชาของพระองค์ที่แสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มีกันอยู่โดยทั่วไป
2. พระองค์ทรงแสดงทางแห่งการเข้าถึงความดีว่า ความรักผู้อื่นแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา พระองค์ทรงแสดงความจริงด้านความสัมพันธ์ของมนุษย์ไว้อย่างตรงประเด็น สาเหตุหลักที่มนุษย์ทะเลาะวิวาทกันเพราะไม่มีความรักกัน ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัว คนในชุมชน ประเทศชาติ หรือแม้แต่คนในโลกที่แบ่งแยกฝักฝ่ายกันทำสงครามในทุกสงครามที่ผ่านมาล้วนมาจากความไม่รักผู้อื่นทั้งสิ้น แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนความเกลียดชังให้เป็นความรัก เปลี่ยนก้อนอิฐให้เป็นดอกไม้ได้สันติภาพก็เกิดขึ้นทันที
3. พระองค์ทรงย้ำว่า เครื่องมือสำคัญของการสร้างสันติภาพคือความรักผู้อื่นนั้นเอง
4. พระองค์ได้แสดงทางให้ถึงความรักไว้ว่า ต้องมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ และตายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อคิดเช่นนี้เสมอๆความรักผู้อื่นจะเกิดขึ้นได้
5. การมองโลกในแง่ดี ช่วยให้เกิดความรักผู้อื่นได้ พระองค์ตรัสว่า นอกจากมองโลกในแง่ดีแล้ว ควรมองโลกตามความเป็นจริงด้วย การมองโลกของพระองค์ทั้งสองมุมนี้คือวิถีแห่งการเข้าถึงความรักผู้อื่นได้เพราะถ้าเข้าใจตามความเป็นจริงว่ามนุษย์เกิดมาแตกต่างกันในด้านต่างๆแล้วไม่ถือโทษโกรธเคืองกันสามารถรักกันได้
6. ความสันโดษ พระองค์ทรงให้คำจำกัดความคำว่า สันโดษได้ชัดเจนดีว่า มีก็ดี ไม่มีก็ได้ พระดำรัสนี้ครอบคลุม เนื้อความ ไว้ทั้งหมด มีสิ่งใด หรือไม่มีก็ยินดี พอใจ ตามที่มีตามที่ได้ ไม่ทะเยอทะยาน อยากในสิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรงเกินความสามารถและปัจจัยที่จะเป็นไปได้
7. พระองค์ทรงสอนวิธีสร้างความรักผู้อื่นไว้ในข้อสุดท้ายว่า ต้องมีใจมั่นคง เมื่อใดที่ประสบกับความไม่สมหวังต้องปลงว่า มีลาภเสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ พระองค์ทรงชี้ว่า ความไม่สมปรารถนาเป็นธรรมดาของโลก เมื่อทำอย่างสุดความสามารถแล้วยังไม่สมปรารถนาก็ปล่อยผ่านไปด้วยการย่อมรับความจริงว่า ชั่งมัน
พระบรมราโชวาท พระราชดำรัสต่างๆคือสิ่งล้ำค่า ที่พสกนิกรควรศึกษาทำความเข้าใจ นำไปปฏิบัติตาม ให้เกิดประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น เพราะสิ่งเหล่านี้ คือมรดกธรรมที่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทยมอบไว้แด่ลูกหลานไทยทุกคน มรดกธรรมนี้จะอยู่คู่ลูกหลานไทยทุกคนจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ด้วยอำนาจแห่งความกตัญญู กตเวทิตาธรรมที่พสกนิกรชาวไทยทั้งหลาย แสดงออก แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จงเป็นพลวปัจจัยผลักดันให้ ท่านผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุข ประสบความก้าวหน้าและความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน การทำงานและการปฏิบัติธรรมยิ่งๆขึ้นไปเทอญ
วัดพุทธธรรม เมืองวิลโลบรูค รัฐอิลลินอยส์
17 ตุลาคม 2559 เวลา 6.00 น.